วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

การขยายความหมาย : อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ในนวนิยายไทย

การขยายความหมาย คือการทำให้ความหมายของคำหรือวลีขยายออกไปจากเดิม ซึ่งวิธีการใชการขยายความหมายนั้นมีมากมาย ในที่นี้จะกล่าวถึง 2 วิธีในการขยายความหมาย ได้แก่ อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ และนามนัย โดยในบทความนี้จะเริ่มต้นที่อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์กันก่อน คอละครหลงรักละครเพราะบทบาทที่ถึงพริกถึงขิงของดารานักแสดงฉันใดคอนิยายก็หลงรักนิยายเพราะภาษาที่ถึงอกถึงใจของนักเขียนฉันนั้น ที่กล่าวเช่นนี้เพราะนิยายหรือนวนิยายที่เราอ่านๆกันมีความโดดเด่นในเรื่องของการใช้ภาษาที่สละสลวยและที่ขาดไม่ได้เลยคือการใช้ภาษาเชิงเปรียบเทียบหรือที่เรียกกันว่า อุปลักษณ์ (Metaphor) Lakoff (อ้างใน Cruse, 2004 : 201-203) กล่าวถึง อุปลักษณ์(Metaphor) ไว้ว่า อุปลักษณ์ เป็นเรื่องของความคิด เรียกว่า “อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์” (Conceptual metaphor) ซึ่งการเปรียบเทียบแบบอุปลักษณ์ประกอบด้วย 1. วงความหมายต้นทาง (Source domain) ซึ่งจะมีลักษณะที่เป็นรูปธรรม 2. วงความหมายปลายทาง (Target domain) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นนามธรรม ทั้ง 2 domains จะมีความสัมพันธ์โดยมีทิศทางการถ่ายโยงความหมาย(Mapping relations หรือ Correspondences) จากวงความหมายต้นทาง(Source domain) ไปยังวงความหมายปลายทาง (Target domain) (Lakoff & Johnson 1980 : 4 อ้างในศุภชัย ต๊ะวิชัย, 2549 : 1)

การขยายความหมาย(Extension Meaning) คือการเกิดความหมายใหม่ที่ขยายออกไปจากความหมายเดิม ซึ่งกลวิธีในการขยายความหมายมีหลากหลายวิธี ดังจะยกกลวิธีในการขยายความหมายมาแสดงไว้สัก 2 วิธี คือ อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ และ

การถ่ายโยงความหมาย (Correspondences) มี 2 ลักษณะ คือ 1. การถ่ายโยงความหมายแบบภวสัมพันธ์ (Ontological Correspondences) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างวงความหมายต้นทางและวงความหมายปลายทาง 2. การถ่ายโยงความหมายแบบญาณสัมพันธ์ (Epistemic Correspondences) คือ การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ของวงความหมายต้นทางกับวงความหมายปลายทาง ( ศุภชัย ต๊ะวิชัย, 2549 : 36-44)


นอกจาก Lakoff แล้ว ยังมีผู้ที่ศึกษา metaphor อีกคือ Ullmann (1962 : 213 อ้างใน ศุภชัย ต๊ะวิชัย, 2549 : 30) ที่แบ่งโครงสร้างของอุปลักษณ์ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ สิ่งที่ถูกเปรียบ (Tenor) และแบบเปรียบ (Vehicle) สิ่งที่ถูกเปรียบ หมายถึง ความคิดที่ต้องการนำเสนอหรือเนื้อหาที่นำมาเปรียบเทียบ ส่วนแบบเปรียบ หมายถึง รูปภาษาที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อสื่อให้เห็นถึงความคิดที่นำเสนอ



สำหรับบทความนี้จะกล่าวถึงการถ่ายโยงความหมายแบบภวสัมพันธ์ (Ontological Correspondences) ก่อน และเพื่อให้เห็นภาพของอุปลักษณ์มากขึ้นจึงแสดงลักษณะของการถ่ายโยงความหมายไว้ดังแผนภาพต่อไปนี้






จะเห็นว่าการขยายความหมายแบบ metaphor จะมีลักษณะการถ่ายโยงความหมายจาก domain 1 (source domain) ไปสู่ domain 2 (target domain) เสมอ


มาดูตัวอย่างการถ่ายโยงความหมายแบบภวสัมพันธ์กันดีกว่า





“เมล็ดพันธุ์ความเกลียดชังที่หว่านไว้ในอดีตกำลังส่งผลให้เห็น”(เพรงเงา ,2540 : 119)



จากตัวอย่างจะเห็นว่าคำที่เป็นอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์คือ คำว่า เมล็ดพันธุ์ ซึ่งปกติจะหมายถึง “ส่วนภายในของผลไม้ที่เพาะขึ้นเป็นต้นได้, สิ่งที่จะเป็นพันธุ์ต่อไป” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) แต่เมื่อปรากฎในปริบทนี้มีความหมายที่ขยายจากเดิม เมื่อดูจากตัวอย่างสามารถสรุปได้ว่า วงความหมายต้นทาง (Source domain) คือ พืช ส่วนวงความหมายปลายทาง (Target domain) คือ ความเกลียดชัง ในที่นี้มีการเปรียบ 4 แบบ คือ

1. เปรียบสาเหตุของความเกลียดชังกับเมล็ดพันธุ์พืช

แบบเปรียบ (Vehicle) คือ เมล็ดพันธุ์พืช ส่วนสิ่งที่ถูกเปรียบ (Tenor) คือ สาเหตุของความเกลียดชัง


<!--[if !supportLists]-->2. <!--[endif]-->เปรียบการสร้างความเกลียดชังกับการหว่านเมล็ดพันธุ์


แบบเปรียบ (Vehicle) คือ การหว่านเมล็ดพันธุ์ ส่วนสิ่งที่ถูกเปรียบ (Tenor) คือ การสร้างความเกลียดชัง


<!--[if !supportLists]-->3. <!--[endif]-->เปรียบระดับความเกลียดชังกับการเติบโตของเมล็ดพันธุ์


แบบเปรียบ (Vehicle) คือ การเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่วนสิ่งที่ถูกเปรียบ (Tenor) คือ ระดับความเกลียดชัง


<!--[if !supportLists]-->4. <!--[endif]-->เปรียบผลของความเกลียดชังกับต้นไม้


แบบเปรียบ (Vehicle) คือ ต้นไม้ ส่วนสิ่งที่ถูกเปรียบ (Tenor) คือ ผลของความเกลียดชัง




อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ (Conceptual metaphor) เป็นลักษณะหนึ่งของการขยายความหมาย (Extension of meaning) แต่นอกจาก metaphor แล้วยังมีการขยายความหมายในอีกรูปแบบหนึ่ง คือ นามนัย (Metonymy)ซึ่งจะกล่าวถึงในบทความถัดไป





Reference :ศุภชัย ต๊ะวิชัย. "อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์แสดงอารมณ์โกรธในภาษาไทย". วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.



3 ความคิดเห็น:

  1. ขอความกรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาด้วย เพราะข้อความข้างต้น ลอกมาจากงานวิจัยของ รศ.ดร.ชัชวดี ศรลัมพ์ รวมถึงเอกสารที่ใช้ประกอบการสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  3. ผู้เขียนได้แก้ไขที่มาของข้อมูลแล้วค่ะ ดังได้แสดงไว้ด้านบน ซึ่งวิทยานิพนธ์ที่ผู้เขียนใช้ในการค้นคว้านั้น รศ.ดร.ชัชวดี ศรลัมพ์เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ค่ะ

    ตอบลบ